• : 094-453-2459, 097-924-3645 (สำรอง)

เคล็ดลับในการเลือกน้ำมันปลาคุณภาพดี ให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด


น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหัวใจและหลอดเลือด แต่การเลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายแต่ละบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในบทความนี้วินวินท์แคร์มี 7 เคล็ดลับสำคัญในการเลือกน้ำมันปลาคุณภาพดี เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากอาหารเสริมชนิดนี้มาฝากกัน

น้ำมันปลาคืออะไร มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?

น้ำมันปลา หรือ Fish Oil คือ น้ำมันที่สกัดได้จากส่วนต่าง ๆ ของปลา โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีน ซึ่งในน้ำมันปลาจะมีสารสำคัญหลัก ๆ เลยก็คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น 

ทำไมน้ำมันปลาถึงสำคัญต่อร่างกาย?

น้ำมันปลาสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้

  • บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
    • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
    • ลดความดันโลหิต
    • ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
  • บำรุงสมองและระบบประสาท
    • ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาท
    • เสริมสร้างความจำและการเรียนรู้
    • ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
  • ลดการอักเสบ
    • ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
    • บรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบ
  • บำรุงสายตา
    • ช่วยบำรุงสายตา
    • ลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
  • บำรุงผิวหนัง
    • ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น
    • ลดอาการของโรคผิวหนังบางชนิด

7 เคล็ดลับในการเลือกน้ำมันปลาคุณภาพดี

จะเห็นได้ว่า น้ำมันปลา เป็นแหล่งรวมกรดไขมันโอเมก้า 3 ชั้นดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพหัวใจ สมอง สายตา และการอักเสบในร่างกาย การทานน้ำมันปลาเป็นประจำจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้เราได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างเพียงพอ 

 

แต่ด้วยน้ำมันปลาที่มีหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาด การเลือกซื้อน้ำมันปลาสักอันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ในบทความนี้เราเลยจะมาเจาะลึกถึงวิธีเลือกน้ำมันปลา เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าได้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพของคุณกัน

1. ตรวจสอบปริมาณ EPA และ DHA

ทั้ง EPA (Eicosapentaenoic acid) และ DHA (Docosahexaenoic acid) คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญ ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักในน้ำมันปลา ดังนั้นจึงควรตรวจสอบปริมาณ EPA และ DHA บนฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนเลือกซื้อ โดยทั่วไปแล้วน้ำมันปลาที่มีคุณภาพดีควรมีปริมาณ EPA และ DHA รวมกันอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อแคปซูล และควรมีอัตราส่วนของ EPA ต่อ DHA ที่เหมาะสม อย่าง  2:1 หรือ 3:2 นั่นเอง

2. เลือกน้ำมันปลาที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

แหล่งที่มาของน้ำมันปลามีผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ควรเลือกน้ำมันปลาที่มาจากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล หรือปลาซาร์ดีน และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุแหล่งที่มาของปลาอย่างชัดเจน 

นอกจากนี้ก็ควรเลือกน้ำมันปลาที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด โดยเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกจะมีความบริสุทธิ์และปลอดภัยจากสารปนเปื้อน อย่างสารปรอทนั่นเอง

3. พิจารณาปริมาณสารปนเปื้อน

นอกจากสารปรอทที่อาจปนเปื้อนในน้ำมันปลาแล้ว ก็ยังมีสารอื่น ๆ ที่ต้องระวังอีกเช่นกัน อาทิเช่น กลุ่มโลหะหนัก หรือสาร PCBs ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นจึงควรเลือกน้ำมันปลาที่ผ่านการทดสอบและรับรองว่าปราศจากสารปนเปื้อน หรือมีปริมาณสารปนเปื้อนในระดับที่ปลอดภัย

 

4. ความบริสุทธิ์ของน้ำมันปลา

เวลาเลือกซื้อน้ำมันปลา อีกสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ ก็คือ ความบริสุทธิ์ของน้ำมันปลา เพราะนอกจาก DHA และ EPA ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญแล้ว ในแคปซูลน้ำมันปลายังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น น้ำมันพืช หรือสารอื่น ๆ ที่เติมลงไป เพื่อช่วยในการผลิตหรือทำให้แคปซูลมีรูปร่างที่ดีขึ้น จึงควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด และเลือกน้ำมันปลาที่มีความบริสุทธิ์สูง มีส่วนประกอบของ DHA และ EPA สูงกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ ในอาหารเสริมนั้น ๆ

5. เลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

น้ำมันปลามีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น แคปซูล ซอฟต์เจล หรือน้ำมันเหลว การเลือกน้ำมันปลาในรูปแบบที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยแต่ละรูปแบบจะมีข้อดี-ข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. แคปซูล (Capsule)

  • ข้อดี: สะดวกในการรับประทาน ช่วยป้องกันกลิ่นคาว และง่ายต่อการพกพา
  • ข้อจำกัด: อาจกลืนยากเกินไปสำหรับบางคนที่ไม่ชอบทานแคปซูล

2. ซอฟต์เจล (Softgel)

  • ข้อดี: ง่ายต่อการกลืน ป้องกันกลิ่นคาวได้ดี และดูดซึมได้เร็ว
  • ข้อจำกัด: อาจมีสารเคลือบที่ทำให้บางคนแพ้ และมักมีราคาสูงกว่าแบบแคปซูล

3. น้ำมันเหลว (Liquid)

  • ข้อดี: ดูดซึมได้เร็ว และสามารถปรับปริมาณได้เอง
  • ข้อจำกัด: มีกลิ่นคาว ต้องใช้ช้อนตวง อาจไม่สะดวกต่อการรับประทาน และไม่สะดวกในการพกพา

6. เลือกน้ำมันปลาที่ไม่มีกลิ่นคาวรุนแรง

ปัญหาหนึ่งที่หลายคนพบเจอเมื่อทานน้ำมันปลา คือ กลิ่นคาวที่ติดตามมา ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและไม่อยากทานต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากน้ำมันปลาที่ไม่ละลาย หรือร่างกายดูดซึมได้ไม่ดีพอ ทำให้เกิดการเรอบ่อยครั้ง จึงควรเลือกน้ำมันปลาที่มีความบริสุทธิ์สูงและดูดซึมได้ดี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นคาว ช่วยให้คุณทานน้ำมันปลาได้อย่างสม่ำเสมอ และได้รับประโยชน์ในระยะยาว

7. ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

หากคุณมีโรคประจำตัว กำลังทานยาอยู่ หรือไม่แน่ใจว่าจะทานน้ำมันปลายี่ห้อไหนดี ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันปลาที่คุณเลือกนั้นปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ จะได้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทานอาหารเสริมชนิดนี้

โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ฟรี! ที่ร้านขายยาวินวินท์แคร์ เพียงแค่แอดไลน์ @vinviincare เรามีเภสัชกรพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับชนิดของอาหารเสริมที่เหมาะสม ปริมาณที่ควรทาน และวิธีการทานที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณทานอาหารเสริมน้ำมันปลาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด